ความหมายของ E-business infrastructure
หมายถึงการรวมกันของฮาร์ดแวร์ เช่น Server,Client Pc ในองค์กรณ์ รวมถึงเครือข่ายอินเตร์เน็ตที่เชื่อมโยงฮาร์ดแวร์เหล่านั้น ซึ้งคำว่า Infrastructure ยังรวมไปถึงสถาปัตยกรรมทางด้าน Hardware , Software และเครือข่ายที่มีในบริษัทด้วย และสุดท้าย ยังรวมไปถึงการนำของมูลและเอกสารเข้าสู้ระบบ E-business ด้วย
อินเทอร์เน็ต (Internet)
เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
ทั่วโลก สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ โดยใช้มาตรฐานในการรับส่งข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียว หรือที่เรียกว่า
โปรโตคอล (Protocol) ซึ่งโปรโตคอล ที่ใช้บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีชื่อว่า ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP : Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
ลักษณะของระบบอินเทอร์เน็ต เป็นเสมือนใยแมงมุม ที่ครอบคลุมทั่วโลก ในแต่ละจุดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น สามารถสื่อสารกันได้หลายเส้นทาง ตามความต้องการ โดยไม่กำหนดตายตัว และไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางโดยตรง อาจจะผ่านจุดอื่น ๆ หรือ เลือกไปเส้นทางอื่นได้หลาย ๆ เส้นทาง การติดต่อสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นั้นอาจเรียกว่า การติดต่อสื่อสารแบบไร้มิติ หรือ Cyberspace
การประยุกต์ใช้อินทราเน็ต (Applications of Intranet)
บริษัทต่างๆ ใช้เทคโนโลยีอินทราเน็ตเพื่อการสืบค้นข้อมูล, เก็บประวัติส่วนตัวของลูกค้า และเชื่อมต่อไปยังอินเทอร์เน็ต ดังนั้น จึงสามารถจำแนกการประยุกต์ใช้อินทราเน็ตออกเป็น
- เป็น เครื่องมือในการสนับสนุนการสื่อสารและความร่วมมือภายในองค์กร โดยการส่งและรับไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ไปรษณีย์เสียง โทรศัพท์ติดตามตัว และโทรสาร เพื่อติดต่อกับบุคคลอื่นภายในองค์กรและภายนอกผ่านอินเทอร์เน็ตและ เอ็กซ์ทราเน็ต นอกจากนี้ ยังสามารถใช้คุณสมบัติของกรุ๊ปแวร์อินทราเน็ต ในการปรับปรุงความร่วมมือของทีมและโครงการ เช่น กลุ่มหรือชุมชนสนทนาห้อง พูดคุย และการประชุมทางวีดีทัศน์และเสียง เป็นต้น
- ใช้ ในการ ดำเนินธุรกิจและการบริหารจัดการ (Business Operations and Management) ซึ่งอินทราเน็ตถูกใช้เป็นฐานงาน (Platform) สำ หรับการพัฒนา และนำมาใช้กับโปรแกรมประยุกต์ธุรกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจและกา ตัดสินใจด้านการจัดการระหว่างองค์กร เช่น การประมวลผลการสั่งซื้อ การควบคุมสินค้าคงคลัง การจัดการการขาย และระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร ซึ่งสามารถนำมา ใช้บนอินทราเน็ต
จาก กรณีศึกษาของบริษัท Sun Microsystems ผู้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการใช้อินทราเน็ตในปี 1994 มีโฮมเพจและโปรแกรมประยุกต์ หลายๆโปรแกรมบนเว็บไซท์ SunWeb ซึ่งเป็นเว็บไซท์ขนาดมหึมาด้วยจำนวนแม่ข่ายเว็บอินทราเน็ตมากกว่า 3,000 แม่ข่ายสำหรับพนัก งาน 20,000 คน ทำหน้าที่ในการสนับสนุนลูกค้าที่สถานีปลายทางและแม่ข่ายกว่า 100 ประเทศ SunWebช่วยประหยัดต้นทุนเป็นจำนวน มาก เมื่อเทียบกับการจัดพิมพ์สารสนเทศบนกระดาษ และสื่ออื่นๆ ความง่ายและความเร็ว ในการแบ่งปันสารสนเทศสื่อประสมบนแม่ข่าย เว็บ ทำให้ได้ผลิตผลมากขึ้นและมีความสร้างสรรค์ในงานและโครงการของเขาเหล่านั้น จากอินทราเน็ตของ Sun ทำให้เกิดความคิดใน การประยุกต์โปรแกรมให้พนักงานสามารถนำมาใช้บนอินทราเน็ต ดังนี้
- การ เรียกดูได้ 3 ระดับ คือ การเรียกดูระดับองค์กร (Organizational View) การเรียกดูตามหน้าที่ (Functional View) ของบริษัท ( องค์กร ฝ่ายบุคคล ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด เป็นต้น) และการเรียกดูตามภูมิศาสตร์ (Geographical View)
- การดูสิ่งใหม่ ๆ เพื่อแจ้งข้อมูลการแถลงข่าวที่เกิดขึ้นของบริษัท รายงานทางเสียงแบบออนไลน์ และอื่นๆ
- เพื่อ ส่งเสริมการตลาดและการขาย ซึ่งประกอบด้วยฐานข้อมูลการตลาดและการขาย สารสนเทศเทียบเคียง เครื่องมือด้านการ ตลาด สารสนเทศองค์กร และสารสนเทศเบื้องต้นเพื่อช่วยงานพนักงานขายและพนักงานตลาด
- เป็น สารบัญแฟ้มผลิตภัณฑ์ (Product Catalog) ประกอบด้วยสารสนเทศสื่อประสมของผลิตภัณฑ์ Sun สำหรับการอ้างอิงทั่วไป เพื่อ ประหยัดต้นทุนงานสิ่งพิมพ์
- เป็น สารสนเทศทาง วิศวกรรม ข้อมูลการเชื่อมไปยังเครื่องมือซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่เรียกใช้ได้บนเครื่อง แม่ข่ายท้องถิ่นของแต่ละคน ด้วยเอกสารแบบออนไลน์ สำหรับข้อมูลการฝึกอบรม วิธีที่ได้รับบริการ และวิธีการได้รับลิขสิทธิ์
- เพื่อ เป็นข้อมูลด้านทรัพยากรมนุษย์และสิทธิประโยชน์ โดยรวบรวมสารสนเทศเกี่ยวกับผลประโยชน์ของพนักงาน คู่มือผู้จัดการชุด เครื่องมือสำหรับนักพัฒนาและข้อมูลการว่าจ้างแรงงานขององค์กร
- เป็น ห้องสมุดและการศึกษา โดยสร้างหลักสูตรการฝึกอบรมภายในและภายนอกของบริษัท ซึ่งเชื่อมกับห้องสมุดของบริษัท เพื่อ เข้าถึงการบริการงานวิจัยและทรัพยากร อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดต้นทุนการอบรมและพัฒนา
เพื่อ เป็นข้อมูลสำหรับการเดินทาง โดยอธิบายถึงวิธีการเตรียมการอนุมัติค่าใช้จ่ายในการเดินทางจัดหาคำแนะนำการ เดินทางไป ยังต่างประเทศ เชื่อมกับโฮมเพจของความปลอดภัยระหว่างประเทศ แสดงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา และสารสนเทศเกี่ยวกับระบบการ ขนส่ง
WEB 1.0 คืออะไร
ลองนึกย้อนไปตอน Internet เพิ่งเริ่มมีการพัฒนาอย่างจริงๆจังๆ (คงไม่รวมเอาแบบยุคเริ่มต้นเกินไปก็ได้นะ) เราจะเริ่มหรือเคยเห็นมีเว็บไซต์หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของเว็บไซต์ก็จะเป็นการนำเอาข้อมูลที่ตัวเอง ต้องการนำเสนอไปทำในรูปแบบของ html หรือข้อมูลต่างๆที่เราเห็นอยู่นั่นแหละไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ หรืออินเตอร์เน็ต ส่วนเราผู้ใช้ก็มีหน้าที่ คือกดเข้าไปอ่านส่วนเจ้าของก็คือมีหน้าที่คือ Update ข้อมูลเข้ามาทำกันไปกันมาแบบเดียวกันนี้แหละ ซึ่งโดยสรุปเราอาจจะเรียกวิธีการแบบนี้ว่าเป็นการสื่อสารแบบทางเดียว หรือเรียกว่า One Way Communication ก็ได้
WEB 2.0 คืออะไร
จาก WEB 1.0 ต่อมาเว็บไต์ก็เริ่มมีการพัฒนา พวก WEB Board, Blog, มีการนำภาพมาแชร์ นำ วีดีโอ มา Post มีการแชร์ แบ่งปัน แลกเปลี่ยน พูดคุย ถกเถียงกัน นินทา ประจาน ใส่ร้ายก็มี ทั้งจากเจ้าของเว็บไซต์เอง หรือจากคนที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์กันเองเรียกว่า ผู้ใช้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ ข้อมูล หรือ Content ในเว็บไซต์นั้นมีการ update และพัฒนา ปรับปรุง อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เว็บไซต์มีรูปแบบของการสื่อสารเป็นแบบสองทาง หรือ Two Way Communication ซึ่งพอมาถึงจุดนี้ทำให้ อินเตอร์เน็ตมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากกกก ลองดูข้อมูลที่ผมได้มา จากภาพก็พอจะเข้าใจว่าเกิดไรขึ้นบ้างในช่วงเวลาไม่กี่ปีของการพัฒนาจาก WEB 1.0 มาเป็น web 2.0
WEB 3.0 คืออะไร
ที นี้..จาก WEB 2.0 ก็เริ่มขยับก้าวเข้ามาสู่ช่วงของ WEB 3.0 …แล้วอะไรละที่เพิ่มเข้ามา ก็มีคนสรุปไว้ค่อนข้างเยอะ ผมเองก็อ้างอิงและผนวกกับประสบการณ์และมุมมองส่วนตัวเข้ามาว่า สื่งที่คนพัฒนาเว็บกำลังพยายามทำกันต่อก็คือ แก้ไขปัญหาของข้อมูลหรือ Content ที่ไม่มีคุณภาพต่างๆ ที่ WEB 2.0 ได้สร้างขึ้น ซึ่งมีการขยายขนาดและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วทำยังไงละผู้ใช้ถึงจะสามารถเข้าถึง Content หรือสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ง่ายและตรงความต้องการมากที่สุด สะดวกที่สุด ก็เลยมีการพูดถึง
The Future Internet: Service Web 3.0
อ่ะ….. พอดีไปค้นเจอมา เป็น Video ที่เขาทำสรุปไว้เกี่ยวกับ WEB 3.0 ทำได้เข้าใจง่ายดี อาจจะเก่าไปนิดหน่อย แต่ดูแล้วก็จะเข้าใจ เห็นภาพ ทั้งที่ผ่านมา ปัจจุบัน และอนาคตของโลกอินเตอร์เน็ต ลองคลิ๊กดูกัน
สรุป ง่ายๆ ก็คือ เว็บ 3.0 นี้จะไปเน้นเรื่องการจัดการข้อมูลในเว็บมากขึ้น ดีขึ้น และทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเขัาถึงเนื้องหาของเว็บได้ดีขึ้นนั้นเอง และ Web 3.0 ผมมองว่าจะเป็นการพัฒนา แก้ไขปัญหาในระบบเว็บ 2.0 มากกว่าการสร้างบนพื้นฐานความรู้ใหม่ ยังไงก็ค่อยๆ ว่ากันไป เอาเป็นว่า รู้ประมาณนี้ก็พอจะไปประติประต่อกะคนอื่นเขาได้ เวลาเขาพูดถึงคำพวกนี้กันนะครับ
WEB 4.0 คืออะไร
อ่ะ มาว่ากันต่อ WEB 4.0 หรือบางทีเขาเรียกกันว่า “A Symbiotic web” คือเว็บที่ทำงานแบบ Artificial Intelligence (AI) ที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น คอมพิวเตอร์สามารถคิดได้ มีความฉลาดมากขึ้น ในการอ่านทั้งเนื้อหา ข้อความ และรูปภาพ หรืวีดีโอ สามารถที่จะตอบสนองหรืตัดสินใจได้ว่าจะ load ข้อมูลอะไร จากไหน ที่จะให้ประสิทธิภาพดีที่สุดมาให้ผู้ใช้งานก่อนก่อน และนอกจากนี้ยังมีรูปแบบการนำมาแสดงที่รวดเร็ว เว็บ 4.0 จะทำให้เว็บ หรือข้อมูลต่างๆ สามารถทำงานได้แทบจะทุก Device หรืออาจจะช่วยระบุตัวตนที่แท้จริงของผู้ใช้เอง
บล็อก (BLOG) คืออะไร
บล็อกมาจากการผสมคำระหว่าง WEB ( Wolrd Wide Web) +LOG (บันทึก) = BLOG คือ เว็บไซต์ที่เจ้าของ หรือ Blogger สามารถบันทึกเรื่องราวของตนเองลงในเว็บได้ตลอดเวลา การสร้างเว็บบล็อกสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ไม่ซับซ้อน ไม่เสียสตางค์ ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษา HTML อย่างน้อยขอให้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์
ภายในเว็บบล็อก จะมีระบบบริหารจัดการเว็บไซต์พื้นฐานให้แล้ว โดยการสร้างเครื่องมือสำหรับ เขียนเรื่อง โพสรูป จัดหมวดหมู่ และลูกเล่นอื่นๆ ที่ผู้จัดทำพยายามสร้างเพื่อดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก ให้เข้าไปใช้บริการ เสน่ห์ของบล็อกอยู่ที่ผู้อ่านและผู้เขียนสามารถโต้ตอบกันได้ (Interactive) โดยการแสดงความคิดเห็นต่อท้ายที่เรื่องนั้นๆ
บางคนมองว่าการเขียนบล็อก ก็คือการเขียนไดอารี่ออนไลน์ แท้ที่จริง ไดอารี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบล็อกเท่านั้น คุณเปิดบล็อกขึ้นมาไม่ใช่เพื่อเขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวันอย่างเดียว แต่สามารถใส่ความรู้ ประสบการณ์ เพื่อเป็นวิทยาทานให้คนอื่นๆ เช่น คุณหมอ เปิดบล็อกแนะนำเรื่องสุขภาพ เป็นต้น
บล็อก คือ สื่อใหม่ (New Media) เป็นปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารในอดีตอย่างสิ้นเชิง คนเขียนบล็อก สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งสื่อสารมวลชน เขาสามารถสื่อสารกันเองในกลุ่มเล็กๆ หรือกลุ่มใหญ่ก็ได้ ถ้าเรื่องไหน เป็นที่ถูกใจ ของชาวบล็อก ชาวเน็ต คนๆ นั้น อาจจะดังได้เพียงชั่วข้ามคืน โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยสื่อหลักช่วยเลย
ลักษณะของสื่อใหม่
- กลุ่มผู้รับสารจะมีขนาดเล็ก
- มีลักษณะเป็น Interactive
- ผู้ส่งสาอาจไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องรายได้ มีแรงจูงใจด้านอื่น เช่น ความมีชื่อเสียง, ความชอบส่วนตัว
- เป็นการสื่อสารแบบเปิด ผู้รับ ผู้ส่ง มีความเท่าเทียมกัน
- เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ หลากหลาย
Internet Forum คืออะไร
Internet Forum คือบริการหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตสำหรับการแสดงความคิดเห็นหรืออภิปราย ทำให้เกิดชุมชนเสมือนจริง(virtual community) ซึ่งจะแยกหัวข้อการอภิปรายตามหัวข้อความสนใจเฉพาะกลุ่ม
Internet forums มีหลายชื่อเรียก เช่น web forums, message boards, discussion boards, discussion forums, discussion groups, bulletin boards
Wiki คืออะไร
ขออธิบายถึงโปรแกรม MediaWiki ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้งานสำหรับ Wikipedia และเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไป Download ไปใช้ได้ เพราะเป็นที่นิยมและมีลูกเล่นที่หลากหลาย
ตัว wiki เองสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ที่จะทำสารานุกรมออนไลน์ สิ่งที่สารานุกรมนำเสนอคือความหมาย คำจำกัดความ ความรู้ และข้อมูลประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำคำหนึ่ง ๆ โดยระบบเปิดให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตสามารถเข้ามาสร้าง แก้ไข ตรวจสอบเนื้อหาและข้อมูลต่าง ๆ ได้ (ข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับใน wikipedia จะต้องเป็นข้อมูลที่มีบทความตีพิมพ์อ้างอิงเท่านั้น)
ส่วนโปรแกรม MediaWiki เองสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลายแบบ แต่ต้องเข้าใจ Concept การจัดการเนื้อหาของระบบ wiki ก่อนถึงจะใช้ได้สะดวก สำหรับคนที่เคยใช้ระบบ Content Management System (CMS) ตัวอย่างเช่น Joomla หรือ เคยใช้งาน Blog เช่น WordPress แล้วมาใช้งาน MediaWiki ครั้งแรกจะงงกับวิธีใช้งาน เพราะทั้ง CMS และ Blog จะมีการเพิ่มเนื้อหาในรูปแบบ Content ใหม่ ๆ เรียงตามลำดับวันที่เพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ เราสามารถดูจากหน้าแสดงข้อมูลทั้งหมดได้ แต่ Wiki สิ่งที่เราสร้างคือหน้าบทความ จะไม่มีการอ้างถึง Aricle ID หรือ Content ID แต่บทความที่สร้างหรือใน wiki เรียกว่าหน้า (Page) นั้นจะเข้าถึงโดยใช้ชื่อหน้านั้น ๆ ประกอบกับหมวดหมู่ (Category) เช่น Special:Contact_Page และการเชื่อมโยงระหว่างหน้าจะทำโดยการใส่ Link เชื่อมโยง หรือการค้นหาโดย Search Page
สรุปคือวิธีการใช้งาน wiki จะทำในลักษณะเหมือนกับเราเขียนหนังสือขึ้นมา (แต่อาจเขียนหลาย ๆ เล่ม และสามารถเชื่อมโยงหากันได้) มีบทความหลาย ๆ บทความประกอบกัน เราสามารถสร้างสารบัญเนื้อหาขึ้นเองได้ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลของผู้ที่มาดูเว็บถูกจัดให้เข้าถึงอย่างเป็นลำดับตามที่เจ้าของ wiki วางโครงสร้างไว้นั่นเอง
มีหลาย ๆ เว็บที่นำ wiki มาเป็น Engine นำ Content ขึ้นแสดงแทนที่จะใช้โปรแกรม CMS เพราะลูกเล่นในการเชื่อมโยงเนื้อหา ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลที่ดีกว่า CMS ทั่ว ๆ ไป และการใช้งานยังง่าย (ถ้าเข้าใจวิธีใช้แล้ว) เพราะเจ้าของเว็บสามารถแก้ไขข้อมูลจากหน้าเว็บได้เลย อีกทั้งมี Extensions ให้ลงเพิ่มเพื่อเพิ่มความสะดวกและลูกเล่นอื่น ๆ อีก เช่น Text Editor สำหรับ wiki, Contact Us Page หรือการใส่เนื้อหาจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ เช่น Flickr, GoogleMap เป็นต้
instant messaging คืออะไร
instant messaging มักจะได้รับการเรียกย่อว่า “IM” หรือ “IMing” เป็นการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อความผ่านโปรแกรมประยุกต์ซอฟต์แวร์ในเวลาจริง โดยทั่วไป รวมอยู่ในซอฟต์แวร์ IM เป็นความสามารถดูเพื่อนที่เลือก เพื่อนร่วมงาน หรือ “buddy” ง่ายขึ้นที่ออนไลน์และเชื่อมต่อผ่านบริการที่เลือก instant messaging แตกต่างจากอีเมล์ธรรมดาในการแลกเปลี่ยนข่าวสารและทำการแลกเปลี่ยนต่อเนื่องง่ายกว่าการส่งอีเมล์ไปมา การแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่เป็นข้อความเท่านั้น ผ่านบริการยอดนิยม เช่น AOL, MSN Messenger, Yahoo! Messenger และ Apple’s iChat ที่ยอมให้การส่งข่าวสารด้วยเสียง การแบ่งปันไฟล์ และ video chat เมื่อผู้ใช้ทั้งคู่มีกล้อง instant messaging คืออะไร
สำหรับการให้ IMing ทำงาน ผู้ใช้ทั้งคู่สามารถออนไลน์ในเวลาเดียวกันและผู้รับเป้าหมายต้องมีความต้องรับ instant message ตามที่เป็นไปได้ในการคอนฟิกลูกข่าย IM ให้ปฏิเสธ chat session ความพยายามในการส่ง IM ไปถึงบางคนผู้ที่ไม่ได้ออนไลน์ หรือผู้ที่ไม่ต้องการรับ instant message จะเป็นผลลัพธ์ในคำเตือนว่าการส่งผ่านไม่สามารถเสร็จสิ้น ถ้าซอฟต์แวร์ออนไลน์ได้รับการตั้งค่าให้ยอมรับ IM จะมีการเตือนผู้รับด้วยเสียงเด่น หรือ window เก็บข่าวสารนำเข้า
ในอดีต ทั้งผู้ใช้ต้องใช้ซอฟแวร์เดียวกัน อย่างไรก็ตาม ลูกข่ายปัจจุบันจำนวนมากยอมให้ทำงานภายในระหว่างเครือข่าย รวมถึง Live Messenger ที่ Microsoft พัฒนาล่าสุด
ภายใต้เงื่อนไขจำนวนมาก IMing เป็น “instant” อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่า ระหว่างช่วงการใช้อินเตอร์เน็ต ความล่าช้ามากกว่าหนึ่งหรือวินาทีน้อยมาก สิ่งนี้เป็นไปได้สำหรับประชาชนสองคนหรือมากกว่าต้องสนทนาออนไลน์ตามเวลาจริงโดย IMing กลับไปกลับมาแต่ละคน
ในช่วงเวลาที่บุคคลอาจจะรับ IM จากบางคน ขณะที่เพิ่งเข้าร่วมแช๊ตกับคนอื่นอยู่ และตกลงใจทำ IM chat ต่อไปกับทั้งคู่อย่างอิสระและอย่างพร้อมกัน สิ่งนี้ต้องระวังเพื่อหลีกเลี่ยงความขวยเขินของการส่ง IM ของคนหนึ่งไปให้อีกคน ถึงแม้ว่า คนรุ่นเยาว์ “ผู้ชำนาญอินเตอร์เน็ต” มักจะผ่านระดับนี้ของ multi-task ตามที่ได้ปฏิบัติทุกวัน
การพัฒนาเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ยอมให้ผู้ใช้สามารถทำได้ผ่าน IM ผ่านอุปกรณ์ยอดนิยม เช่น T-Mobile Sidekick II หรือโทรศัพท์ฉลาดอื่น
โฟล์กโซโนมี
โฟล์กโซโนมี (อังกฤษ: folksonomy) หรือ ปัจเจกวิธาน คืออนุกรมวิธานที่ผู้ใช้สร้างขึ้นเอง ซึ่งใช้ในการแบ่งหมวดหมู่และค้นคืน หน้าเว็บ รูปภาพ ตัวเชื่อมโยงเว็บ และเนื้อหาบนเว็บอื่นๆ โดยใช้กินติดป้ายที่ไม่จำกัดข้อความ โดยปกติโฟล์กโซโนมีทำงานผ่านอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตามอาจจะถูกนำไปใช้ในบริบทอื่นเช่นกัน กระบวนการการติดป้ายแบบโฟล์กโซโนมีเจตนาที่จะเพิ่มความง่ายในการค้นหา ค้นพบ และหาตำแหน่ง เมื่อเวลาผ่านไป โฟล์กโซโนมีที่พัฒนาขึ้นมาอย่างดีตามหลักการแล้วสามารถใช้เป็นรายการคำศัพท์ที่ใช้ร่วมกัน ซึ่งสร้างขึ้นมาโดยผู้ใช้อันดับแรก และเป็นที่คุ้นเคยสำหรับผู้ใช้อันดับแรก เว็บไซต์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดสองแห่งที่ใช้การติดป้ายแบบโฟล์กโซโนมีคือ ฟลิคเกอร์ และ del.icio.us อย่างไรก็ตามมีการชี้ประเด็นว่า ฟลิคเกอร์ ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีของ’โฟล์กโซโนมี
เนื่องจากโฟล์กโซโนมีพัฒนาขึ้นในสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง โดยทั่วไปแล้วผู้ใช้จึงสามารถค้นพบได้ว่าใครเป็นผู้ติดป้ายโฟล์กโซโนมี และสามารถดูได้ว่าผู้ใช้คนอื่นสร้างป้ายอะไรขึ้นมาบ้าง
HTTP(HyperText Transfer Protocol)
HTTP เป็นกลไกหรือโปรโตคอลหลักที่ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนต์ของเวิลด์ไวด์เว็บ โดยถูกออกแบบมาให้มีความกระทัดรัด สามารถทำงานได้รวดเร็ว มีกระบวนการทำงานที่ไม่ซับซ้อน และมีคำสั่งที่ใช้งานไม่มากนัก แต่สามารถรองรับข้อมูลได้ทุกแบบ ไม่ว่าเป็นข้อมูลทั่วไปที่เข้ารหัสแบบ MIME หรือข้อมูลที่เป็นกราฟิก
หลักการทำงานทั่วๆไปของ HTTP คือ จะแบบการทำงานออกเป็น 2 ด้านคือ ด้านเว็บเซิร์ฟเวอร์ และด้านไคลเอนต์ โดยไคลเอนต์จะติดต่อเข้ามายังเซิร์ฟเวอร์โดยใช้โปรแกรมบราวเซอร์ และอ้างถึงแอดเดรสของเซิร์ฟเวอร์โดยใช้รูปแบบของ URL ส่วนด้านเซิร์ฟเวอร์จะส่งข้อมูลกลับมาในรูปแบบที่เป็น HTML โดยที่โปรโตคอล HTTP ใช้วิธีการเข้ารหัสในแบบ MIME เป็นมาตรฐานของการทำงาน
โครงสร้างข้อมูลของ HTTP จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆคือ ส่วนเฮดเดอร์ หรือเรียกว่า metadata จะเป็นส่วนเก็บข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ภายในโปรโตคอล ส่วนที่สองเป็นส่วนข้อมูลจริงที่ต้องการรับส่ง ทั้งนี้ HTTP ถูกออกแบบมาให้สามารรับส่งข้อมูลผ่าน Proxy หรือ Firewall ต่างๆได้ โดยการทำงาน HTTP จะอาศัยโปรโตคอลพื้นฐาน TCP/IP ซึ่งทั่วไปจะใช้หมายเลขพอร์ตที่ 80
โปรโตคอล HTTP ในปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นมาเป็นเวอร์ชั่น 1.1 (จากเดิมคือ เวอร์ชั่น 1.0) ซึ่งโปรแกรมบราวเซอร์ที่แพร่หลายทั่วไปนั้นจะสามารถรองรับโปรโตคอลในเวอร์ชั่นใหม่นี้ได้ และได้กำหนดไว้เป็นมาตรฐานใน RFC2068 แล้ว โดยในHTTP เวอร์ชั่น1.1 นี้ได้เพิ่มประสิทธิภาพทำงานให้สูงขึ้น และปรับปรุงในด้านต่างๆที่ทำให้ความสามารถมากขึ้น